วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วัดโพธารามมหาวิหาร

วัดโพธารามมหาวิหาร







วัดเจ็ดยอด หรือ วัดเจดีย์เจ็ดยอด เป็นชื่อวัดที่คนทั่วไปในภายหลังกำหนดเรียกขึ้นตามลักษณะเครื่องยอดส่วนบน
หลังคาพระวิหารโบราณที่ปรากฏมาแต่เดิมในวัดนี้ ซึ่งก่อสร้างเป็นพระสถูปเจดีย์
มีจำนวนเจ็ดยอดด้วยกัน แต่ชื่อของวัดนี้ที่มีมาแต่เดิมเมื่อคราวแรกสร้างวัด
ชื่อว่า วัดมหาโพธาราม หรือ วัดโพธารามมหาวิหาร


วัดเจ็ดยอด เป็นวัดวัดโบราณที่พระเจ้าติโลกราช พระราชาธิบดีองค์ที่ ๒๒ แห่งราชวงศ์มังราย
โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคด หรือ สีหโคตเสนาบดี เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๙๙๙
เมื่อสถาปนาพระอารามสำเร็จแล้ว พระเจ้าติโลกราชโปรดให้นิมนต์พระมหาเถระ
ชื่อ พระอุตตมปัญญา มาสถิตเป็นอธิบดีองค์แรกแห่งหมู่สงฆ์ในอารามนี้
ครั้งนั้นพระเจ้าติโลกราชได้ทรงสดับธรรมบรรยายจากสำนักพระภิกษุสีหล
เรื่องอานิสงส์ปลูกต้นโพธิ์ จึงโปรดให้แบ่งหน่อมหาโพธิ์ต้นเดิมที่พระภิกษุสีหลนำมาจากศรีลังกาเอามาปลูก
ขึ้นไว้ในอารามป่าแดงหลวง เชิงดอยสุเทพ นำมาปลุกไว้ในอารามที่สร้างขึ้นใหม่
เหตุที่หน่อมหาโพธิ์ปลูกในอารามแห่งนี้ จึงได้รับการขนานนามว่า "วัดมหาโพธาราม" วัดเจ็ดยอด
เป็นอารามที่มีความสำคัญยิ่งทางพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านนา ด้วยเมื่อพุทธศักราช ๒๐๒๐
พระเจ้าติโลกราช โปรดให้จัดการประชุมพระเถรานุเถระทั่วทุกหัวเมืองในอาณาจักรล้านนา
แล้วทรงคัดเลือกได้พระธรรมทิณเจ้าอาวาสวัดป่าตาล ผู้เจนจัดในพระบาลีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์
พระเจ้าติโลกราชทรงรับเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ทำสังคายนาพระไตรปิฏก
ณ วัดมหาโพธารามปีหนึ่งจึงสำเร็จเรียบร้อย การสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งใหญ่เป็นลำดับที่ ๘
นับเนื่องได้ทำมาแล้วที่ประเทศอินเดียและศรีลังการวมเจ็ดครั้ง
และการทำสังคายนาพระไตรปิฏกที่วัดมหาโพธารามก็นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
วัดเจ็ดยอด ได้กลายเป็นวัดร้างที่ไม่มีพระภิกษุอาศัยแต่เมื่อใดไม่พบหลักฐานแน่ชัด


แต่สันนิษฐานว่า เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๑๙ หัวเมืองต่าง ๆ
ในแคว้นล้านนาประสบกับภัยสงครามทั่วไปหมด
ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงประกาศให้ทิ้งเมืองเชียงใหม่
เนื่องจากไม่มีกำลังพอเพียงที่จะรักษาเมือง
พระภิกษุสามเณรและพลเมืองจึงพากันอพยพไปอยู่ตามหัวเมืองอื่น ๆ หมด
ต่อมาสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้ากาวิละได้เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
ตามพระบรมราชโองการของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เมืองเชียงใหม่ก็ได้กลับตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กระนั้นก็ดีบรรดาวัดวาอารามต่าง ๆ
ที่ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองและนอกเมืองก็ยังสภาพเป็นวัดร้างจำนวนมาก วัดเจ็ดยอด
ก็เป็นหนึ่งในจำนวนวัดร้างด้วย







ศิลปกรรมที่มี ความสำคัญเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาซึ่งนำมาโดยพระภิกษุสิหลนิกาย
สู่อาณาจักรล้านนาแต่สมัยกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จำนวนหลายแห่งด้วยกัน
โบราณสถานของวัดนี้มีความสำคัญต่อเนื่องด้วยประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่และ
มีคุณค่าในทางศิลปกรรมประเภทพุทธศิลป์ในสมัยล้านนาที่น่าสนใจได้แก่
ซุ้มประตูโขงทางเข้าวัด ขนบธรรมเนียมการสร้างอารามในอาณาจักรล้านนาแต่โบราณย่อมสร้างซุ้มประตูโขง
เป็นช่องทางขนาดใหญ่สำหรับเข้าออกไว้ที่ด้านหน้าของวัด ซุ้มประตูโขงของวัดเจ็ดยอด
ก่อด้วยอิฐถือปูน ช่องประตูตอนบนสร้างเป็นรูปครึ่งวงกลม
ตัวซุ้มขนาบช่องประตูทำอย่างเสาย่อมุมทั้งสองข้าง
หลังช่องประตูโขงขึ้นไปเป็นเครื่องยอดตามแบบขนบนิยมในศิลปสมัยล้านนา
ปัจจุบันเครื่องยอดส่วนที่อยู่บนหลังซุ้มได้พังไปหมดแล้ว


ศิลปกรรมของซุ้มประตูโขงที่น่าสนใจคือ ลวดลายปูนปั้น ประดับตกแต่งกรอบวงโค้งและหางซุ้ม
กับลวดลายปูนปั้นเป็นกาบประดับเชิงเสาและปลายเสาย่อมุมประจำสองข้างซุ้มมหาวิหาร
เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญยิ่งกว่าโบราณสถานแห่งอื่น
ทั้งนี้เนื่องด้วยมหาวิหารแห่งนี้พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ใช้เป็นสถานที่
ประชุมพระเถรานุเถระทั่วอาณาจักรล้านนา มหาวิหารแห่งนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๒๐๒๐โดยมีหมื่นด้ามพร้าคด หรือ สีหโคตเสนาบดี เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง มหาวิหาร
เป็นอาคารชนิดเครื่องก่อ ใช้ศิลาแลงทำโครงสร้างลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ตั้งขนานไปตามทิศตะวันออกสู่ตะวันตก ตอนหน้าของอาคารสันนิษฐานว่าเป็นมุขโถงต่อออกไป
ข้างหน้าเปิดเป็นทางเข้าออกมหาวิหาร ตัวอาคารมหาวิหารก่อผนังทึบล้อมสามด้าน เว้นด้านหน้า
เชิงผนังตอนในสุดของวิหารก่อแท่นแก้วประดิษฐานพระพุทธปฏิมาพระประธานประจำวิหาร
กลางฝาผนังด้านข้างในห้องโถง เจาะเป็นช่องแคบ ๆ มีบันไดทอดตัวขึ้นไปข้างบนออกสู่หลังคาวิหาร
ซึ่งเป็นหลังคาทรงตัดลักษณะคล้ายดาดฟ้าทั่วไป
พื้นที่บนนี้เป็นที่ตั้งของปรางค์ยอดเจดีย์แบบพุทธคยาในอินเดียจำนวนเจ็ด องค์ด้วยกัน



นอกจากนี้ภายนอกตัวมหาวิหารยังปรากฏลวดลายปูน ปั้นชั้นครูระดับเอก
ที่ยากจะหาฝีมือไหนมาเทียบได้
ลวดลายต่าง ๆ ที่ปรากฏยังได้สำแดงให้ประจักษ์ในคุณค่าทางภูมิปัญญาอันเปรื่องปราชญ์
และ ความสามารถในการสร้างสรรค์


ความบันดาลใจต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติออกมาเป็นลวดลายที่มีเอกลักษณ์แสดงความ
หมายในทางพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี



พระสถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช พระสถูปองค์นี้พระยอดเชียงใหม่
พระราชาธิบดีองค์ที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์มังราย
พระราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน
พระอัฐิของพระเจ้าติโลกราช
เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๓๑ พระสถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช เป็นชนิดก่ออิฐถือปูน
ลักษณะรูปทรงเป็นแบบทรงมณฑปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซุ้มคูหาเป็นจัตุรมุข หลังคาทรงบัวคลุ่ม
ส่วนเครื่องยอดต่อขึ้นไปก่อเป็นพระสถูปทรงระฆังอย่างเจดีย์สีหล
ซุ้มคูหาด้านนอกทิศตะวันออกทำลึกเข้าไปในตัวมณฑป
ประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรปูนปั้นองค์หนึ่งปางมารวิชัย


กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์พระเจ้าติโลกราช วัดเจ็ดยอด วัดสำคัญเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่
นอกจากความร่มรื่นของแมกไม้ภายในวัดแล้ว
ที่นี่ยังเป็นแหล่งโบราณสถานศิลปสมัยเชียงแสนที่สวยงามและหาชมได้ยากอีกด้วย


บทความคัดมาจาก เว็บหนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์
โดยจักรพงษ์ คำบุญเรือง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น